10. ดาวิด ชิโนล่า
ชิโนล่าเข้ามาสร้างความสั่นสะเทือนให้กับพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกกับนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด พร้อมกับเล่นงานแบ็คที่ว่าแน่ๆ ของเกาะอังกฤษไปนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น แกรี่ เนวิลล์ หรือ ลี ดิ๊กสัน ล้วนตกเป็นเหยื่อของเขามาแล้วทั้งนั้นจากพิษสงการเลื้อยสุดพริ้วไหวและการหักเลี้ยวได้อย่างคล่องแคล่วด้วยเท้าที่ถนัดทั้งสองข้าง
แต่แน่นอนว่าช่วงเวลาที่พีคที่สุดของเขามาบังเกิดในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน ซึ่งได้รับใช้ทีมจากลอนดอนเหนือไป 3 ฤดูกาลและร่วมกันคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในปี 1999
โดยเฉือนชนะเลสเตอร์ ซิตี้ และที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ก็คือประตูสุดงามที่เจ้าตัวเจาะตาข่ายบาร์นสลี่ย์ เอาไว้หลังจากโซโล่เดี่ยวเข้าไปยิงอย่างเหนือชั้น ประตูนี้ประตูเดียวสามารถจำกัดความตัวเขาได้อย่างคราบถ้วนทั้งพลัง, ความเร็ว และความคมในการจบสกอร์ แอบสงสัยเล่นๆ เหมือนกันว่าหากเป็นยุคสมัยนี้ เขาจะมีค่าตัวมหาศาลขนาดไหนกัน
9. ปีเตอร์ ชไมเคิล
เจ้าของฉายา “ยักษ์เดน” คนนี้นี่แหละที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่าเป็นการซื้อตัวที่คุ้มค่าที่สุดแห่งศตวรรษหลังจากใช้เงินไปเพียงครึ่งล้านปอนด์แล้วได้มาซึ่ง 5 แชมป์พรีเมียร์ลีก, 3 แชมป์เอฟเอคัพ และ 1 แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก จากระยะ 8 ปีในโอลด์แทรฟฟอร์ด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ทีมปีศาจแดงของเฟอร์กี้ครองความยิ่งใหญ่ในยุคนั้นก็เป็นเพราะความเหนียวหนึบในหน้าปากประตูของตัวเองนี่แหละ ชไมเคิลไม่เพียงแต่จะยืนปักหลักอยู่ระหว่างเสาสองต้นเท่านั้น เพราะปกติเขาจะคอยตะโกนสั่งการและกระตุ้นแผงหลังเบื้องหน้าตัวเองจนทุกคนต่างมีสมาธิกันอยู่ตลอดเวลา
ว่ากันตามตรงแล้ว นักฟุตบอลส่วนใหญ่ต่างมีทักษะและความสามารถเหลือล้นแทบไม่แตกต่างกันเลย แต่สิ่งที่แยกพวกเขาออกจากกันก็คือทัศนคติของผู้ชนะซึ่งชไมเคิลมีอย่างเต็มเปี่ยม และหากพูดถึงคุณสมบัติของการเป็นยอดนายทวารแล้ว มือกาวจากเดนมาร์กคนนี้ก็ผ่านฉลุยในทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการสปริงตัวได้สูง, กล้าเล่นบอลด้วยเท้า, อ่านจังหวะได้ขาด และที่สำคัญมีลำตัวที่บึกบึนและสูงใหญ่จนเวลากางแขนกางขาทีแทบจะปิดมุมจนมิด
8. ปาทริค วิเอร่า
เดิมทีผู้คนต่างงุนงงสงสัยกับการคว้ากองกลางดาวรุ่งวัย 20 ปีที่แทบจะดับสนิทกับเอซี มิลาน ของอาร์เซน่อล เมื่อฤดูกาล 1995/96 ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของ อาร์แซน เวงเกอร์ บอสคนใหม่ของทีมปืนใหญ่ที่ตามมาสมทบในเวลาไล่เลี่ยกัน
ถึงจะมีรูปร่างสูงและขาที่ยาวเก้งก้าง วิเอร่ากลับเลี้ยงบอลได้เชื่องเท้าและยากที่ใครจะเข้าไปแย่งมาได้ง่ายๆ รวมทั้งมีความดุดันและใจกล้าบ้าบิ่นที่พร้อมเข้าบอลแบบถึงลูกถึงคนตลอดเวลา มันคือสิ่งที่ทีมของเวงเกอร์ขาดหายไปนับตั้งแต่พ้นยุคของกัปตันทีมคนนี้
กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฮาร์ดแมนชาวฝรั่งเศสคนนี้คือคนที่ขับเคลื่อนเดอะกันเนอร์สอย่างแท้จริง หากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอาร์เซน่อล คือสองทีมที่ช่วงชิงความยิ่งใหญ่ในเกาะอังกฤษเมื่อช่วงต้นยุค 2000 วิเอร่าและ รอย คีน ก็คงเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดที่พรีเมียร์ลีกเคยพบพานมา
7. จานฟรังโก้ โซล่า
มีผู้เล่นไม่กี่คนที่จะสะท้อนภาพที่ชัดเจนของเชลซีในยุคที่พัฒนาจากทีมกลางตารางมาสู่ทีมที่ไล่ล่าพื้นที่ยุโรปได้ดีไปกว่าดาวเตะอิตาเลี่ยนร่างเล็กที่มาพร้อมกับรอยยิ้มฉีกกว้าง โซล่าในวัย 30 ปีเหมือนม้าแข่งที่เจนสนามซึ่งซื้อมาก็ใช้งานได้ทันทีแบบไม่ต้องรอ
ชื่อชั้นของกุนซือ เกล็น ฮ็อดเดิ้ล ช่วยดึงดูดบิ๊กเนมเข้ามาในถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์อย่างคับคั่งไม่ว่าจะเป็น มาร์ค ฮิวจ์ส, ฟร้องค์ เลอเบิฟ และ รุด กุลลิท ที่บางคนยกให้เป็นผู้ยกระดับสิงโตน้ำเงินครามอย่างแท้จริง แต่กระนั้นเกมรุกที่จัดจ้านขึ้นของทีมก็มาจากโซล่านี่แหละ
6. เซร์คิโอ อเกวโร่
ใครจะรู้ว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะโกยแชมป์ได้อีกขนาดไหนหากอเกวโร่ไม่โชคร้ายบาดเจ็บบ่อยครั้ง เพราะว่ากันตรงๆ
ทีมเรือใบสีฟ้าได้รับการจับตามองในฐานะทีมลุ้นแชมป์อยู่ก่อนที่อเกวโร่จะย้ายเข้ามาแล้ว แต่ทันทีที่ดาวเตะอาร์เจนไตน์ก้าวเท้าเข้าสู่ซิตี้ออฟแมนเชสเตอร์สเตเดี้ยมนี่แหละได้สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับทีมร่วมลีกอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่ทีมมี คาร์ลอส เตเบซ อยู่แล้ว
แต่การได้อเกวโร่เข้ามานั้นถือเป็นการยกระดับการผลิตสกอร์ไปอีกขั้น เขาคือยอดตัวจบสกอร์ขนานแท้ ทั้งเร็ว, คมกริบ และวิ่งพล่านไปทั่วกรอบเขตโทษ มันไม่สำคัญว่ากองหลังจะเก่งกาจเพียงใดเพราะบางครั้งคุณแค่ฝืนเอาชนะธรรมชาติไม่ได้ก็เท่านั้น
อเกวโร่เริ่มแสดงความคุ้มค่าต่อเงิน 38 ล้านปอนด์ที่สโมสรทุ่มคว้าตัวเขามาได้ตั้งแต่เกมประเดิมของตัวเองกับสวอนซี แม้จะลงเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 59 แต่หัวหอกตัวจี๊ดกลับซัลโว 2 ประตูและทำ 1 แอสซิสต์จนทีมชนะไป 4-0 แต่ความคุ้มค่าจริงๆ ของเขามาชัดเจนที่สุดในนัดสุดท้ายของฤดูกาลเมื่อทีมเพิ่งตามตีเสมอคิวพีอาร์เป็น 2-2 ในนาทีที่ 92 และต้องการอีก 1 ประตูเพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร และแน่นอนว่าบทฮีโร่นั้นไม่ใช่ใครนอกจากอเกวโร่ที่ควบตะบึงเข้าไปถล่มตาข่ายเป็นประตูชัยในนาทีที่ 95 พร้อมพาเอาฟากสีฟ้าของแมนเชสเตอร์สั่นสะเทือนไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดีหลังแซงคู่แค้นอย่างยูไนเต็ดเข้าวินได้ในที่สุด
5. ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา
แม้จะเริ่มต้นค้าแข้งในแผ่นดินอังกฤษอย่างเชื่องช้า แต่เมื่อถึงจุดที่ความดุดันและเทคนิคอันแพรวพราวของเขามาบรรจบกันแล้ว ก็ทำให้ดร็อกบาเป็นอะไรที่มากกว่าเพียงกองหน้ายิงประตู
ดร็อกบาต้องใช้เวลากว่า 1 ฤดูกาลครึ่งกับการปรับตัวที่เชลซี บางทีอาจเป็นเพราะความเร็วของเกมนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากฟุตบอลฝรั่งเศสที่เขาลงเล่นให้มาร์กเซยมาก่อนหน้าจะย้ายมา แต่ถึงแม้จะต้องใช้เวลาบ่มเพาะ แต่ก็เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการรอคอยนั้น เมื่อได้ที่แล้ว เขาก็กลายเป็นฝันร้ายของกองหลังในเมืองผู้ดีไปเลย เพราะด้วยความแข็งแกร่งชนิดเบียดไม่กระเด็นบวกกับสัญชาตญาณคลำหาเป้าได้แม่นยำและการเล่นลูกกลางอากาศได้ดี พวกเซ็นเตอร์ประเภทปวกเปียกจึงตกเป็นเหยื่อของเขาเสมอ ไม่เชื่อลองไปถาม ฟิลิปป์ เซนเดอรอส ดูสิ เขาอำลาทีมไปในซีซั่น 2011/12 หลังจากพาทีมกวาดแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอคัพ 4 สมัย และแชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในฤดูกาล 2014/15 ด้วยสัญญาปีเดียวด้วยเหตุเพราะได้ร่วมงานกับ โชเซ่ มูรินโญ่ โค้ชผู้บารมีของตัวเองอีกหน
4. เดนนิส เบิร์กแคมป์
ไม่ทันไร เขาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นการซื้อตัวที่เสียเปล่าของอาร์เซน่อลหลังยิงไม่ได้เลยใน 6 นัดแรกของตัวเอง แต่ไม่นานเบิร์กแคมป์ก็พิสูจน์ให้เห็นคุณค่าของตัวเองที่ช่วยพลิกโฉมทีมปืนใหญ่ไปตลอดกาล
หากจะบอกเล่าสรรพคุณของยอดกองหน้าชาวดัตช์คนนี้ให้แฟนบอลกันเนอร์สรุ่นใหม่ได้ฟัง คงต้องเอาคลิปที่เขากดคนเดียว 3 ลูกในเกมที่ทีมปืนใหญ่ไปเยือนเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 1997 ให้ดูน่าจะง่ายกว่า เพราะต่อให้สิบปากว่ายังไงก็ไม่เท่าตาเห็น ไม่มีทางที่คำพูดจะบรรยายความมหัศจรรย์ของเขาได้อย่างชัดแจ้งตามความเป็นจริง เพราะทุกอย่างที่เขาสร้างคืองานศิลป์ชิ้นเอก
นอกจากความเหนือชั้นในการประดิษฐ์ประตูแล้ว คลาสการใส่พานให้เพื่อนร่วมทีมถล่มตาข่ายก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อกาลเวลาที่ยิ่งล่วงเลยไปบวกกับการได้แนวรุกชั้นดีเข้ามามากมายในช่วงต้นยุค 2000 ทำให้เขาผันตัวมาทำหน้าที่ผู้เล่นหมายเลขสิบอย่างเต็มเวลาและพูดได้เต็มปากว่าทุกวันนี้ เวงเกอร์ก็ยังไม่สามารถหาผู้เล่นคนใดมาทดแทนการขาดหายไปของเขาได้เลยแม้จะซื้อ เมซุต โอซิล เข้ามาก็ตามที
3. เอริค คันโตน่า
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 1991/92 ที่ลีดส์นั้นได้ดึงตัวคันโตน่ามาสู่แผ่นดินอังกฤษแต่เขากลับไม่ใช่ตัวหลักในทีมยูงทองแต่อย่างใดแม้กระทั่งซีซั่นต่อมาที่ได้เกิดการปฏิวัติวงการฟุตบอลเมืองผู้ดีครั้งใหญ่นั่นก็คือการกำเนิดพรีเมียร์ลีก แฟนบอลทีมปีศาจแดงคงไม่คาดคิดว่าการคว้าตัวนักเตะจากทีมคู่อริในเวลานั้นจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในเวลาต่อมา
แต่ทันทีที่เขามาถึงแมนเชสเตอร์ มาตรฐานของทีมก็เหมือนถูกยกระดับขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะนอกจากทีเด็ดในการจบสกอร์แล้ว คันโตน่ายังจับบอลได้นิ่งเหมือนมีแม่เหล็กดูดอยู่ที่รองเท้า ทั้งยังเซ้นส์บอลที่เหนือชั้นพร้อมจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายของคนอื่น แต่ลำพังทักษะเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นยอดตำนานของทีม ท่าทีอันหยิ่งผยองซึ่งอัดแน่นไปด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมต่างหากที่ทำให้เขาโดดเด่นกว่าใคร และเมื่อใดที่ต้องการฮีโร่พลิกสถานการณ์ คันโตน่าจะปรากฎตัวออกมาเพื่อกดประตูชัยให้ทีมได้เสมอเหมือนเป็นโชว์ปิดท้ายที่ทุกคนต่างรอคอย
ตลอดเวลา 5 ฤดูกาลกับยูไนเต็ด เขาจัดการเสกถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยและเอฟเอคัพ 2 สมัย พร้อมกับฝากโมเม้นต์ตราตรึงมิรู้ลืมไว้มากมายไม่ว่าจะเป็นสุดยอดลูกชิพใส่เชฟฟิลด์ เว้นสเดย์ หรือมาดดีใจสุดเฉียบหลังพังประตูสุดเหลือเชื่อใส่ซันเดอร์แลนด์ และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือกังฟูคิกในตำนานที่ไม่มีใครคิดจะเลียนแบบ การแขวนสตั๊ดก่อนวัยอันควรของเขาน่าจะเป็นหนึ่งในความน่าเสียดายของวงการ แต่มองอีกมุมหนึ่ง การที่เขาปิดฉากอาชีพแล้วทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คนได้แต่จินตนาการนี่แหละที่อาจทำให้เขายิ่งมีความเป็นตำนานมากกว่าเดิม
2. เธียร์รี่ อองรี
เขาย่ำเข้ามาในสภาพของปีกวัยกระเตาะธรรมดาๆ แต่จากไปใน 8 ปีต่อมาในฐานะหนึ่งในกองหน้าที่อันตรายที่สุดของประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก คงไม่มีลูกหม้อคนไหนของ อาร์แซน เวงเกอร์ ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า เธียร์รี่ อองรี ที่กลายเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของอาร์เซน่อลอีกแล้ว
อองรีคือศูนย์หน้าในฝันของโค้ชทุกคน ทั้งเร็วปานจรวด, สามารถลากเลื้อยฝ่าดงเท้าได้อย่างสบาย และจบสกอร์ได้อย่างคมกริบ ซึ่งเหมาะกับยุคสมัยนี้อย่างมากเมื่อบรรดากองหน้าทั้งหลายมักถูกปล่อยให้ยืนอย่างโดดเดี่ยวตามแท็คติกยอดฮิตในปัจจุบัน เขาสามารถเล่นเอง, ชงเอง และยิงเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร หากเป็นวันที่เข้าฟอร์มสุดๆ แล้วล่ะก็ กองหลังทั้งแผงก็ไม่อาจหยุดยั้งผู้ชายคนนี้ได้
ตลอดเวลา 8 ซีซั่นกับทีมปืนใหญ่นั้น เขากดไปถึง 174 ประตูในพรีเมียร์ลีก กลายเป็นดาวยิงตลอดกาลของสโมสรชนิดที่น่าจะยังไม่มีใครทำลายลงได้ในเร็ววัน พร้อมกับคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดไปถึง 4 ฤดูกาล นอกจากนี้เขายังช่วยทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพอย่างละ 2 สมัยซึ่งรวมถึงฤดูกาลไร้พ่ายที่เขาถลุงตาข่ายในพรีเมียร์ลีกคนเดียว 30 ลูกได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว
จากเด็กน้อยสู่ชายหนุ่มเต็มตัว โรนัลโด้คือปรากฏการณ์แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ดที่เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นและการข้ามผ่านอุปสรรคอย่างแท้จริง
หลังจากที่ทีมปล่อยตัว เดวิด เบ็คแฮม ไปให้กับเรอัล มาดริด ในปี 2003 คำถามที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือใครกันที่จะมาสืบทอดตำนานเบอร์เจ็ดเป็นคนต่อไป แล้วคำตอบที่แฟนๆ รอคอยก็คือเด็กอายุ 18 ร่างกายผอมบางซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่นเลยนอกจากชื่อที่ละม้ายคล้ายกับยอดดาวยิงชาวแซมบ้าในเวลานั้น
จนเมื่อผ่านฤดูกาลแรกไปโดยที่แมนยูไนเต็ดเสียแชมป์ลีกคืนไปให้กับอาร์เซน่อล ทุกคนก็เริ่มสงสัยว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มองเห็นอะไรในปีกที่มีดีแต่สับขาอยู่กับที่คนนี้
และเมื่อถึงเวลาที่สุกงอมแล้ว ก็ได้เวลาโชว์ให้ทั้งโลกเห็นความอัศจรรย์ของฝีเท้าระดับพระกาฬชนิดที่ว่าพาให้ทุกคนลืมภาพของเด็กน้อยในซีซั่นแรกไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากปล่อยให้เชลซีได้ผูกขาดแชมป์อยู่ 2 ปีซ้อน เขาก็พาทีมทวงความยิ่งใหญ่กลับมาด้วยผลงานพังประตูแบบถล่มทลาย และทักษะการลากเลื้อยที่สร้างความพินาศให้กับกองหลังฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้ยังเพิ่มทีเด็ดการฟรีคิกตามแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งพูดได้ว่าทุกวันนี้มีผู้เล่นมากมายหันมาเอาอย่างการยิงแบบเขา สุดท้ายความอุสาหะเหล่านั้นก็นำมาซึ่งแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย และแชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย และเจ้าตัวนี่แหละที่เป็นปัจจัยสำคัญให้หลายฝ่ายลงความเห็นว่าขุนพลปีศาจแดงในตอนนั้นคือขุนพลที่ดีที่สุดชุดสุดท้ายของเฟอร์กูสัน
คิดถึง “แทงบอลออนไลน์ ” คิดถึง “sbobet“